คู่มือการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายนอกอาคาร

Last updated: 19 มิ.ย. 2568  |  121 จำนวนผู้เข้าชม  | 

คู่มือการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายนอกอาคาร

คู่มือการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายนอกอาคาร

บทนำ : ก้าวแรกสู่โครงข่ายใยแก้วนำแสงที่แข็งแกร่ง

การติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายนอกอาคารเป็นงานที่ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม และการปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงจะสำเร็จและโครงข่ายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย วิธีการเดินสาย สภาพแวดล้อม ประเภทของสายเคเบิล และคุณภาพของวัสดุ รายงานนี้จะนำเสนอคู่มือที่ครอบคลุมสำหรับการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงภายนอกอาคาร ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนไปจนถึงการดำเนินการจริง เพื่อให้สามารถสร้างโครงข่ายที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้

หัวใจสำคัญของการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงภายนอกอาคาร

1. การวางแผนกำหนดเส้นทาง : รากฐานของความสำเร็จ
การวางแผนเพื่อกำหนดเส้นทางที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคและทำให้การติดตั้งสายเคเบิลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการวางแผนประกอบด้วยสองขั้นตอนหลัก:

  • การสำรวจเส้นทางอย่างละเอียด การดำเนินการสำรวจพื้นที่ติดตั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อระบุอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น เช่น สาธารณูปโภคที่มีอยู่แล้ว (สายไฟฟ้า, ท่อประปา), อาคาร, ต้นไม้, หรือปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางเดินสาย การระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าช่วยให้ทีมงานสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสำรวจที่ครอบคลุมนี้ช่วยให้สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งนำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์การลดผลกระทบ เช่น การเปลี่ยนเส้นทาง การจัดหาอุปกรณ์พิเศษ หรือการขออนุญาตที่จำเป็น ก่อนที่การติดตั้งจริงจะเริ่มต้นขึ้น แนวทางเชิงรุกนี้ช่วยลดความล่าช้าที่มีค่าใช้จ่ายสูง การทำงานซ้ำ และอันตรายด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการติดตั้งจริง การมองเห็น "อุปสรรค" ล่วงหน้าจึงเปลี่ยนจากปัญหาที่ไม่คาดคิดให้กลายเป็นความท้าทายที่สามารถจัดการได้
  • การออกแบบผังเส้นทาง การสร้างแบบแปลนโดยละเอียดที่ระบุเส้นทางเดินสาย จุดสิ้นสุด (termination points) และการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมถือเป็นสิ่งสำคัญ แบบแปลนควรรวมรายละเอียดเฉพาะเกี่ยวกับวิธีการติดตั้ง เช่น การติดตั้งแบบแขวนอากาศ หรือใต้ดิน และมาตรการป้องกันที่จำเป็น การตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการติดตั้งและมาตรการป้องกันที่จำเป็นตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรองว่าแบบแปลนที่ได้นั้นสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับข้อกำหนด และคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น หากเป็นการติดตั้งใต้ดิน การกำหนดความลึกและประเภทของท่อร้อยสายเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากเป็นการติดตั้งแบบแขวนอากาศ ระยะห่างระหว่างเสาและความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาก็เป็นปัจจัยสำคัญ การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการออกแบบและวิธีการติดตั้งนี้ช่วยป้องกันการออกแบบใหม่ที่มีค่าใช้จ่ายสูง หรือปัญหาการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง สิ่งนี้เน้นย้ำว่าการออกแบบไม่ได้เป็นเพียงการวาดเส้นบนแผนที่ แต่เป็นการเข้าถึงทางวิศวกรรมแบบองค์รวมที่พิจารณาตลอดวงจรชีวิตของสายเคเบิล ตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงประสิทธิภาพและการบำรุงรักษาในระยะยาว

2. วิธีการเดินสายเคเบิล : เลือกให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม

วิธีการเดินสายขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความต้องการของโครงการ เทคนิคทั่วไปสำหรับการติดตั้งสายใยแก้วนำแสงภายนอกอาคารมีดังนี้:

  • การติดตั้งแบบแขวนอากาศ วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการแขวนสายเคเบิลบนเสาไฟฟ้า โดยมีข้อควรพิจารณาสำคัญ ได้แก่ การกำหนดความสูงของเสาเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการรบกวนกับสาธารณูปโภคอื่นๆ การประเมินสภาพของเสาและตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถรองรับน้ำหนักของสายเคเบิลได้ และการใช้อุปกรณ์จับยึดที่เหมาะสมสำหรับยึดสายเคเบิล เช่น แคลมป์และตัวปรับความตึง การติดตั้งเคเบิลกับเสาไฟฟ้ามักใช้ Machine Bolt ยึดเข้ากับรูของเสาคอนกรีต ร่วมกับ Square Washer และ Hook Bolt 3/8" กับ Drop Wire Clamp สำหรับสายชนิด DW 12 Fiber หรือ Preformed ADSS สำหรับ ADSS 24 Fiber ในกรณีที่ติดตั้งเคเบิลเปลี่ยนแนว จะใช้ Straight Thimble Eye Bolt หรือ Eye Nut ยึดรูเสาคอนกรีต แล้วใช้ Preformed Guy Grip Deadend เป็นตัวจับยึดอุปกรณ์เอนกประสงค์ ที่ใช้เพิ่มจุดติดตั้งสายสื่อสารสามารถรองรับสายใยแก้วนำแสงได้สูงสุด 3 เส้น ที่ระยะห่างเสาสูงสุด 80 เมตร และรับน้ำหนักสายรวม 80.00 กิโลกรัม การแขวนสายควรมีการตกท้องช้าง (Sag) ได้ไม่เกิน 1% ของระยะ Span (ระยะห่างระหว่างเสา) การใช้อุปกรณ์ยึดจับเฉพาะทางที่ถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงในระยะยาวของสายเคเบิล ความปลอดภัย และความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น แรงลมหรือน้ำแข็งที่เกาะ ฯลฯ การละเลยข้อจำกัดของการตกท้องช้างอาจนำไปสู่ความเสียหายของสายเคเบิลได้ การติดตั้งแบบแขวนอากาศจึงเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมโครงสร้างพอๆ กับการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจในคุณสมบัติทางกลและวัสดุศาสตร์ นอกเหนือจากการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า
  • การฝังดินโดยตรง ในวิธีนี้ สายเคเบิลจะถูกฝังลงในดินโดยตรง ปัจจัยสำคัญคือการตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความลึกในการฝังที่เหมาะสม เพื่อป้องกันความเสียหายทางกายภาพ และการระบุว่าพื้นที่นั้นมีแนวโน้มที่จะมีน้ำท่วมขังหรือโพรงอากาศที่อาจส่งผลต่อความสมบูรณ์ของสายเคเบิลหรือไม่ โดยทั่วไปความลึกที่แนะนำคือ 1–1.5 เมตร ความแตกต่างของความลึกที่แนะนำนี้บ่งชี้ว่า "มาตรฐานอุตสาหกรรม" ไม่ได้เป็นสากลและอาจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามกฎระเบียบท้องถิ่นที่เฉพาะเจาะจง ประเภทโครงการ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ทั่วไปเทียบกับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล หรือข้อพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ความลึกที่ตื้นกว่า (30-50 ซม.) อาจเป็นที่ยอมรับได้ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างดี แต่ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับผู้ติดตั้งและผู้จัดการโครงการก็สามารถเลือกการฝังเคเบิลโดยตรงได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาด้านความปลอดภัย หรือความเปราะบางของเครือข่าย
  • การติดตั้งในท่อ HDPE สายใยแก้วนำแสงสามารถวางภายในท่อโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) เพื่อเพิ่มการป้องกัน วิธีนี้ต้องการการขุดร่องที่เหมาะสมเพื่อติดตั้งท่อตามความลึกที่ต้องการ และการตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อถูกปิดผนึกเพื่อป้องกันน้ำเข้า
    การร้อยผ่านบ่อพักสาย
    ในเขตเมือง สายเคเบิลอาจถูกเดินผ่านบ่อพักสายที่มีอยู่ ข้อควรพิจารณา ได้แก่ การตรวจสอบความลึกของบ่อพักสายและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการวางสายเคเบิล รวมถึงการประเมินการระบายอากาศหากทำงานในพื้นที่อับอากาศ

3. การเลือกสายใยแก้วนำแสง : หัวใจของประสิทธิภาพ

การเลือกประเภทสายใยแก้วนำแสงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประสิทธิภาพในระยะยาว:

  • สายภายนอกอาคาร vs. ภายในอาคาร ควรเลือกสายเคเบิลที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานภายนอกอาคารโดยเฉพาะ ซึ่งทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น การสัมผัสรังสียูวี ความชื้น และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ สายไฟเบอร์ออปติกประเภท Loose Tube ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานภายนอกอาคาร มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และมีการใส่เจลกันน้ำ (Thixotropic Jelly) ไว้ในตัวสายเพื่อป้องกันความชื้น และมี Water blocking tape เพื่อช่วยป้องกันน้ำรั่วซึม เปลือกนอกของสายภายนอกอาคารมักทำจาก
    HDPE สายบางชนิดมี Strength Member ทำจาก Aramid Yarn เพื่อช่วยรับแรงดึงและป้องกันสัตว์กัดแทะ ในทางกลับกัน สายประเภท Tight Buffer เหมาะกับการใช้งานในอาคารมีฉนวนเป็น PVC หรือ LSZH (Low Smoke Zero Halogen) ห่อหุ้ม นอกจากนี้ยังมีสายประเภท Outdoor/Indoor ที่สามารถใช้ได้ทั้งนอกและในอาคาร มีฉนวนภายนอกเป็น PE ทนแดด ทนน้ำ และมีคุณสมบัติ LSZH สายที่ติดตั้งในอาคารจะต้องเป็นไปตามรหัสป้องกันไฟ (fire code) โดยมีเรตติ้งสำหรับการทนไฟ เช่น Riser (สำหรับสายแนวตั้งที่ส่งผ่านเปลวไฟ) และ Plenum (สำหรับการติดตั้งในพื้นที่ที่ระบบปรับอากาศ) คุณสมบัติการป้องกันของเคเบิลภายนอกอาคารเฉพาะเหล่านี้ เป็นโซลูชันทางวิศวกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ เช่น ความชื้น รังสียูวี ความเสียหายทางกายภาพ สัตว์กัดแทะ และอัคคีภัย เป็นต้น การทำความเข้าใจคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้สามารถเลือกสายเคเบิลได้อย่างมีข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความทนทานและความน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร สิ่งนี้ยังบ่งชี้ถึงความสำคัญของวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมการป้องกันที่อยู่เบื้องหลังสายใยแก้วนำแสง และความจำเป็นในการเลือกสายที่เหมาะสมกับภัยคุกคามเฉพาะในสภาพแวดล้อมการติดตั้ง
  • สาย Singlemode เหมาะสำหรับการสื่อสารระยะไกลและการส่งข้อมูลความเร็วสูง มีขนาด Core เล็กมากเพียง 9 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางได้ค่อนข้างตรง ส่งข้อมูลได้จำนวนมาก รวดเร็วและส่งได้ไกลหลายร้อยกิโลเมตร นิยมใช้เป็นโครงข่ายสัญญาณหลักเพื่อเชื่อมต่อสถานีหลักของระบบสื่อสารทั่วประเทศ
  • สาย Multimode เหมาะสำหรับระยะทางที่สั้นกว่าและการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิดท์ต่ำกว่า ขนาด Core ของสายเคเบิลเป็นตัวกำหนดวิธีการแพร่กระจายของแสง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระยะการส่งและแบนด์วิดท์
การเลือกสายผิดประเภทอาจนำไปสู่ข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพที่สำคัญ หรือการใช้จ่ายเกินความจำเป็น การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จึงเป็นพื้นฐานในการออกแบบเครือข่ายและรับประกันความสามารถในการปรับขนาดในอนาคต

  • คุณภาพสายเคเบิล การตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายเคเบิลเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและได้รับการทดสอบความทนทานและประสิทธิภาพก่อนการติดตั้งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สายไฟเบอร์ออปติกควรมีขนาด 9/125 µm ชนิด 6 core หรือมากกว่า สามารถรับแรงดึงขณะติดตั้งได้ไม่น้อยกว่า 2,700 N และขณะใช้งานไม่น้อยกว่า 600 N ควรทนอุณหภูมิขณะใช้งานตั้งแต่ -40°C ถึง 70°C และขณะเก็บรักษาตั้งแต่ -40°C ถึง 75°C นอกจากนี้ อัตราการสูญเสียสัญญาณสูงสุด (Maximum Attenuation) ของสายแบบ Multimode ไม่ควรเกิน 2.7 dB/Km ที่ความยาวคลื่นแสง 850 นาโนเมตร และไม่เกิน 0.8 dB/Km ที่ความยาวคลื่นแสง 1300 นาโนเมตร การรักษามาตรฐานคุณภาพที่ระบุเป็นตัวเลขและวัดผลได้เหล่านี้ ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ ซึ่งสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมและส่งมอบประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอได้ตลอดอายุการใช้งาน แต่ถ้าหากละเลยมาตรฐานเหล่านี้อาจนำไปสู่ความล้มเหลวของเครือข่ายก่อนเวลาอันควร อาจทำให้เกิดค่าบำรุงรักษาที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพเครือข่ายที่ต่ำลง การลงทุนในสายเคเบิลที่มีคุณภาพสูงตั้งแต่แรกจึงเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความเสถียรของเครือข่าย


4. การเตรียมอุปกรณ์ : เครื่องมือคู่ใจช่างมืออาชีพ

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการติดตั้งที่ราบรื่น :

  • อุปกรณ์ยึดสาย มีการใช้แคลมป์ ตะขอ หรือตัวยึดเพื่อยึดสายเคเบิลอากาศเข้ากับเสาไฟฟ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในงานติดตั้งสายดรอปวายด์ (Drop wire) และสาย FIG 8 ที่มีสลิง ได้แก่ แคลมป์สแตนเลส, แมชชีนโบลท์, ฮูกโบลท์, เจแคลมป์, ตะขอโทรศัพท์พร้อมน็อตและแหวนยึดสายดรอปวายด์บนเสาไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีสแปนแคลมป์ ไทส์ ซี ซึ่งใช้สำหรับยึดกับสายสแตนระหว่างเสา เพื่อประคองสายดรอปวายด์เป็นระยะๆ บนเสาไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์ยึดจับเฉพาะทางที่ถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสมบูรณ์ทางกลของสายเคเบิล ช่วยป้องกันการตกท้องช้างเกินขีดจำกัด และปกป้องสายจากแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อม เช่น แรงลมและน้ำแข็ง การยึดที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ความเสียหายของสายเคเบิลหรือแม้กระทั่งการหลุดออก สิ่งนี้เน้นย้ำว่าแม้แต่ส่วนประกอบที่ดูเหมือนเล็กน้อยอย่างแคลมป์ ก็เป็นองค์ประกอบทางวิศวกรรมที่สำคัญซึ่งมีส่วนช่วยให้เครือข่ายใยแก้วนำแสงมีความมั่นคงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานโดยรวม
  • อุปกรณ์ป้องกันสาย มีการใช้มาตรการป้องกัน เช่น ปลอกหุ้มสาย (cable sheaths) และท่อร้อยสาย (conduits) เพื่อป้องกันสายเคเบิลจากความเสียหายทางกายภาพหรือปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
  • ชุดเครื่องมือช่างไฟเบอร์ออปติก ที่จำเป็นนอกเหนือจากอุปกรณ์ยึดและป้องกันแล้ว การมีชุดเครื่องมือเฉพาะทางเป็นสิ่งสำคัญสำหรับงานไฟเบอร์ออปติกโดยเฉพาะ ชุดเครื่องมือเข้าหัวไฟเบอร์ออปติกชุดใหญ่มักมาพร้อมกล่องอลูมิเนียมและประกอบด้วย แท่นตัดสาย (Fiber Cleaver), เครื่องวัดค่าแสง (Power Meter), ปากกายิงแสง (Visual Fault Locator - VFL), คีมปอกสาย (Stripper), คีมตัดสาย (Jacket/Frp cutter), กระดาษเช็ดสายไฟเบอร์, แอลกอฮอล์ไอโซโพรพิล 99.9% (IPA) และผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ไม่มีขุย เครื่องสไปรท์สายไฟเบอร์ออปติก (Fiber Fusion Splicer) เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อสาย สำหรับการทดสอบ OTDR (Optical Time Domain Reflectometer) เป็นตัวทดสอบสายไฟเบอร์ที่ทรงพลัง มักนิยมใช้ในการแก้ปัญหาและใช้ในการทดสอบเพิ่มเติมจาก OLTS สำหรับแบบ “Tier 2” ในขณะที่ OLTS (Optical Loss Test Set) เป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการตรวจวัดเพื่อให้การรับรองแบบ “Tier 1” ที่วัดค่าการสูญเสียบนลิงก์

การใช้เครื่องมือเฉพาะทางเหล่านี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความแม่นยำที่จำเป็นสำหรับงานใยแก้วนำแสง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อและการทดสอบ ตัวอย่างเช่น แท่นตัดสายใยแก้วนำแสงช่วยให้มั่นใจได้ว่าปลายสายจะเรียบและตั้งฉาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเชื่อมต่อที่มีการสูญเสียต่ำ เครื่อง OTDR ใช้เพื่อยืนยันความสมบูรณ์ของลิงก์ทั้งหมด หากไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ คุณภาพของการเชื่อมต่อและประสิทธิภาพของเครือข่ายโดยรวมจะลดลงอย่างแน่นอน สิ่งนี้เน้นย้ำว่าการติดตั้งใยแก้วนำแสงเป็นทักษะทางเทคนิคสูงที่ต้องการไม่เพียงแค่ความเชี่ยวชาญ แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ที่ถูกต้อง ซึ่งมักมีราคาสูง องค์กรที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือจึงต้องลงทุนในเครื่องมือเหล่านี้และดูแลให้มีการปรับเทียบและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม

5. การเชื่อมต่อและจัดเก็บสายใยแก้วนำแสง: ความแม่นยำคือกุญแจ

การเชื่อมต่อ (splicing) และการจัดเก็บสาย (looping) เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการติดตั้ง:

  • การเผื่อสาย (Looping) ที่จุดเชื่อมต่อแต่ละจุด (Straight Joint Closure) ควรเผื่อสายเคเบิลไว้เพื่อการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมในอนาคต โดยทั่วไปแนะนำให้เผื่อไว้ประมาณ 15 เมตรทั้งสองด้าน อย่างไรก็ตาม มาตรฐานบางแห่ง เช่น คู่มือการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่า Closure จะต้อง Loop สายเคเบิลไว้อย่างน้อย 30 เมตร เมื่อเดินสายเคเบิลผ่าน Riser (ท่อแนวตั้งในอาคาร) ควรเผื่อสายไว้ด้านละอย่างน้อย 10 เมตร สำหรับทุกๆ ความยาวสายเคเบิล 2 กิโลเมตร ควรเผื่อสายไว้ประมาณ 20 เมตร เพื่อรองรับการขยายตัวหรือการปรับเปลี่ยน การม้วนเก็บสายเคเบิลควรทำเป็นวงกลมมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50-60 เซนติเมตร แล้วรัดด้วย Cable Support แม้ว่าวัตถุประสงค์ของการเผื่อสายจะสอดคล้องกัน แต่ความยาวที่ระบุอาจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างแนวทางทั่วไปและมาตรฐานขององค์กรหรือท้องถิ่น การปฏิบัติตามความยาวที่กำหนดช่วยให้มีสายสำรองเพียงพอสำหรับการทำงานในอนาคตโดยไม่ทำให้สายเคเบิลตึง การกำหนดเส้นผ่านศูนย์กลางการม้วนที่ถูกต้องยังช่วยป้องกันการโค้งงอและรักษาความสมบูรณ์ของสายเคเบิล การที่มาตรฐานมีความแตกต่างกันนี้ เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้ติดตั้งจะต้องรับทราบและปฏิบัติตามแนวทางที่เข้มงวดที่สุดหรือที่กำหนดไว้ในท้องถิ่นสำหรับโครงการ นั้นๆ
  • ขั้นตอนการเชื่อมต่อสาย (Splicing Process)
    การเชื่อมต่อสายใยแก้วนำแสง (Fusion Splicing) เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง เพื่อให้ได้ค่าการสูญเสียสัญญาณต่ำที่สุด ขั้นตอนหลักประกอบด้วย
1. การปอกไฟเบอร์ : ถอดหรือลอกการเคลือบโพลิเมอร์ป้องกันรอบๆ เส้นใยแก้วนำแสง โดยใช้อุปกรณ์ปอกแบบกลไก (stripper) 
2. การทำความสะอาดไฟเบอร์ : หลังจากปอกแล้ว ใช้ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 99.9% (IPA) และผ้าเช็ดทำความสะอาดที่ไม่มีขุย เช็ดทำความสะอาดใยแก้วนำแสงเปล่าให้ปราศจากสิ่งปนเปื้อน
3. การตัดปลายเส้นใย : ใช้มีดตัดใยแก้วนำแสง (cleaver) ที่ดี เพื่อให้เกิดการแตกหักที่สะอาดและเรียบเสมอกัน ตั้งฉากกับแกนของเส้นใย การตัดที่ไม่ดีจะทำให้ค่าสูญเสียสัญญาณสูง
4. การหลอมเส้นใย : วางปลายสายไฟเบอร์ในเครื่องเชื่อมฟิวชัน (fusion splicer) เมื่อจัดตำแหน่งถูกต้องแล้ว เครื่องจะหลอมเส้นใยด้วยอาร์คไฟฟ้าและเชื่อมปลายเข้าด้วยกันอย่างถาวร
5. การป้องกันเส้นใย : หลังจากหลอมรวมเส้นใยเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว เส้นใยเปลือยจะได้รับการป้องกันโดยการเคลือบซ้ำ (recoating) หรือโดยใช้ตัวป้องกันรอยต่อ (splice protector/heat shrink tube)
6. การทดสอบไฟเบอร์: ควรทดสอบไฟเบอร์หลังจากหลอมแล้ว การใช้ OTDR ช่วยตรวจสอบการสูญเสียรอยต่อ (splicing loss) วัดความยาว และค้นหาข้อบกพร่องใดๆ ในไฟเบอร์ที่ต่อ
ค่าการสูญเสียจากการเชื่อมต่อ (Splice Loss) ที่จุดเชื่อมต่อควรอยู่ที่ (ค่า x + ค่า y) / 2 โดยค่านี้จะต้องไม่เกิน 0.15 dB แต่ละขั้นตอนย่อย เช่น การทำความสะอาดที่เหมาะสม หรือการตัดปลายสายที่แม่นยำ ล้วนส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการเชื่อมต่อ ซึ่งจะกำหนดค่าการสูญเสียสัญญาณ ณ จุดนั้น หากมีการสูญเสียสัญญาณสูงที่จุดเชื่อมต่อ อาจทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายโดยรวมลดลง ขั้นตอนการทดสอบโดยใช้ OTDR มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันความสำเร็จของการเชื่อมต่อและระบุปัญหาได้ทันที ซึ่งเน้นย้ำว่าการเชื่อมต่อเป็นกระบวนการหลายขั้นตอนที่การควบคุมคุณภาพมีความสำคัญในทุกๆ จุด
  • การจัดเก็บใยแก้วนำแสง หลังจากเชื่อมต่อแล้ว ควรจัดเก็บใยแก้วนำแสงที่เหลือในถาดจัดเก็บ (splicing tray) และยึดปลายทั้งสองข้างด้วย cable tie โดยระวังอย่าดึงสายรัดแน่นเกินไป ควรมีการม้วนใยแก้วนำแสงล่วงหน้าเพื่อให้สามารถวางจุดต่อหลังจากการเชื่อมต่อไว้ในร่องคงที่ของท่อป้องกันใยแก้วนำแสงและตัดใยแก้วนำแสงที่ซ้ำซ้อนออก การจัดเก็บที่ถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการโค้งงอของคอไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสาเหตุการสูญเสียสัญญาณ การรัดสายแน่นเกินไปหรือการม้วนที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเค้นได้ เหล่านี้ช่วยให้การบำรุงรักษาใยแก้วนำแสงทำได้ดีในอนาคต จากนั้นทำการปิดตู้เก็บสายไฟเบอร์ออฟติก เพื่อรักษาประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน

6. การเตรียมพื้นที่หน้างาน: ติดตั้งในท่อร้อยสายหรือแขวนอากาศ
การเตรียมพื้นที่เป็นขั้นตอนสำคัญในการติดตั้งแบบใต้ดินหรือแบบแขวนอากาศ:

  • การขุดร่องและการติดตั้งท่อ/ฝังสายโดยตรง สำหรับการติดตั้งใต้ดิน จำเป็นต้องขุดร่องตามความลึกที่ต้องการและติดตั้งท่อ HDPE หรือฝังสายเคเบิลโดยตรงอย่างแน่นหนา
  • การติดตั้งเสาใหม่และการยึดโยงให้มั่นคง หากจำเป็นต้องติดตั้งเสาใหม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ติดตั้งเสาในระยะห่างที่เหมาะสมและยึดแน่นหนาในพื้นดิน
  • การติดตั้งระบบ Ground จุดติดตั้ง Ground สำหรับ Optical Fiber Drop Wire 12 core ควรติดตั้งในตำแหน่งที่ Loop สายก่อนเข้าสถานีและตำแหน่งที่ติดตั้ง Closure ทุกจุด การติดตั้งระบบกราวด์ที่เหมาะสม ณ จุดเหล่านี้ช่วยปกป้องสายใยแก้วนำแสงและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อจากไฟกระชาก (เช่น ฟ้าผ่า ความผิดปกติของสายไฟ) และไฟฟ้าสถิต ซึ่งเป็นการป้องกันความเสียหายต่อส่วนประกอบที่เป็นโลหะของสายเคเบิล (หากมี) และที่สำคัญกว่านั้นคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนที่เชื่อมต่อกับใยแก้วนำแสง สิ่งนี้เพิ่มชั้นความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่สำคัญให้กับคู่มือการติดตั้ง โดยขยายขอบเขตการพิจารณาจากเพียงการส่งสัญญาณไปสู่การจัดการความเสี่ยงทางไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร


ข้อแนะนำเพิ่มเติม : สู่ความเป็นเลิศในการติดตั้ง

  1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือช่างเทคนิคที่มีประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมและกำหนดวิธีการติดตั้งที่ดีที่สุดตามขอบเขตโครงการและสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง
  2. ปฏิบัติตามมาตรฐาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในระหว่างการติดตั้งเป็นสิ่งจำเป็น การยึดมั่นในมาตรฐานท้องถิ่นและมาตรฐานอุตสาหกรรมเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน และรับประกันระดับคุณภาพและประสิทธิภาพพื้นฐานสำหรับเครือข่าย การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมาย อันตรายด้านความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของเครือข่ายที่ลดลง
  3. การทดสอบก่อนติดตั้ง การตรวจสอบและทดสอบสายใยแก้วนำแสงก่อนการติดตั้งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อยืนยันคุณภาพและประสิทธิภาพของสาย การทดสอบที่ครอบคลุมทั้งก่อนและหลังการติดตั้งช่วยระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น สายเคเบิลเสียหาย หรือการเชื่อมต่อที่ไม่ดี ก่อนที่ปัญหาเหล่านั้นจะกลายเป็นความล้มเหลวที่สำคัญของเครือข่าย การตรวจสอบเชิงรุกนี้ช่วยลดเวลาในการแก้ไขปัญหาและรับประกันว่าเครือข่ายเป็นไปตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพตั้งแต่วันแรกของการใช้งาน
  4. มาตรการความปลอดภัย การใช้มาตรการความปลอดภัยสำหรับคนงานในระหว่างการติดตั้งเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่อับอากาศหรือสภาพแวดล้อมการทำงานในที่สูง


บทสรุป: สร้างโครงข่ายที่เชื่อถือได้ด้วยความเข้าใจ

การติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายนอกอาคารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การดำเนินการที่แม่นยำ และการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด ด้วยการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การวางแผนเส้นทาง การเลือกสายเคเบิล วิธีการติดตั้ง การเตรียมอุปกรณ์ การเชื่อมต่อและจัดเก็บสาย และการเตรียมพื้นที่หน้างาน จะสามารถมั่นใจได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายจะมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพสูง การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยตลอดโครงการเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

On Tech เราคืออีกหนึ่งบริษัทผู้จัดจำหน่ายสายไฟเบอร์ออฟติก สายแลนคุณภาพสูง ให้บริการสินค้าประเภทสาย Connector เกี่ยวกับระบบโทรศัพท์ สายไฟเบอร์ออฟติก สายแลนอินเทอร์เน็ต สายแลน cat5e สายแลน cat6 สาย lan cat7 และรวมไปถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ อีกมากมาย ที่จำเป็นสำหรับการเชื่อมต่อระบบ มั่นใจได้ถึงคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะสินค้าของเราได้ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานที่กำหนดทุกชิ้น นอกจากนี้เองเรายังมีทีมงานมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านสายไฟเบอร์ออฟติกโดยเฉพาะ สามารถให้คำแนะนำกับผู้ที่สนใจได้อย่างตรงจุด ตอบโจทย์กับลักษณะการใช้งานที่คุณกำลังมองหาอย่างแน่นอน



สนใจสั่งซื้อสายแลนอินเตอร์เน็ต สายไฟเบอร์ออฟติกคุณภาพดี สอบถามราคาเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 02-279-7337, 02-279-7361 | อีเมล : ontech.mail2557@gmail.com , info@ontech.co.th

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้